บทสรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทย 2025–2026

จากรายงาน SCB EIC Real Estate Survey 2025

ตลาดที่อยู่อาศัยไทยกำลังเข้าสู่ “ช่วงฟื้นตัวแบบช้าและเปราะบาง” — ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อเพราะภาระหนี้สูงและสินเชื่อเข้มงวด ขณะที่ ตลาดมือสองและการเช่าซื้อ (Rent-to-own) กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของโครงการมือหนึ่ง

ผู้ซื้อให้ความสำคัญกับ “ราคาที่เข้าถึงได้ + ทำเลสะดวก + คุณภาพชีวิตดี” มากกว่าความหรูหรา ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์จาก “ขายโครงการ” สู่ “ขายคุณค่า” และสร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income) ผ่านรูปแบบการอยู่อาศัยที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม

🔹 ปี 2025–2026 จึงเป็นปีของ “ผู้เล่นที่เข้าใจ Real Demand” มากกว่าผู้ที่เพียงสร้าง Supply เพิ่ม

ภาพรวมตลาด ฟื้นช้า แต่อย่าช้าเกินไป

• กำลังซื้อยังอ่อนแรง จากเศรษฐกิจชะลอ-หนี้ครัวเรือนสูง-สินเชื่อเข้ม
• ผู้บริโภคชะลอการซื้อ รอความพร้อมทางการเงิน (3–5 ปีข้างหน้า)
• ตลาดจริง (Real Demand) ยังเป็นฐานหลักที่ต้องรักษา

🔹 CEO Insight: ต้อง “สร้างดีมานด์ใหม่” ผ่านความคุ้มค่า ทำเล และแคมเปญที่ตอบโจทย์ภาระหนี้ของผู้ซื้อ

การแข่งขันใหม่ มือสอง-เช่าซื้อ-เช่าระยะยาว

• ที่อยู่อาศัยมือสองโตแรง ราคาคุ้มกว่า ทำเลดีกว่าในหลายโซน
• Rent / Rent-to-own มาแรง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำ-ปานกลาง
• ผู้บริโภคเน้นสภาพคล่องมากกว่าเป็นเจ้าของทันที

🔹 CEO Insight: พัฒนา “สินทรัพย์ปล่อยเช่า + เช่าซื้อ” เป็น product mix ใหม่ เพิ่ม recurring income ให้บริษัท

ปัจจัยตัดสินใจซื้อ ราคาคุ้ม + ทำเลสะดวก + สุขภาวะดี

• ความคุ้มค่า/เข้าถึงได้ คือหัวใจหลัก
• ทำเลใกล้รถไฟฟ้า โดยเฉพาะสายหลักยังขายได้
• ESG / Well-being เริ่มกลายเป็น “เหตุผลในการเลือกซื้อ” (72% ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อคุณภาพชีวิต)

🔹 CEO Insight: ใส่ “สุขภาวะ + พลังงานต่ำ + สิ่งแวดล้อมดี” ลงใน concept โครงการ ตั้งแต่ต้นน้ำ

กลยุทธ์ที่ควรทำตอนนี้

• จับกลุ่ม Real Demand ราคาไม่เกิน 10 ลบ. (โดยเฉพาะ 3–5 ลบ.)
• พัฒนาโปรเจกต์เชิงทำเลคุณค่า มากกว่าทำเลพรีเมียม
• สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring) จากเช่า / บริการเสริม / Co-living / Facility Subscription
• ติดตามตลาดมือสองใกล้เคียง เพื่อปรับราคาขายและกลยุทธ์โอนให้แข่งขันได้
• ลดความเสี่ยงจากการถือครองยาว โดยวางโครงสร้างการเงินแบบ agile (Pre-sale + Yield model)

ตลาดอสังหาฯ ปี 2025–2026 จะไม่ใช่การแย่งลูกค้าซื้อบ้าน แต่คือการแย่ง ‘ความคุ้มค่าในใจลูกค้า’ ผ่านการเข้าใจพฤติกรรม การเงิน และทางเลือกที่หลากหลายกว่าเดิม